5 ปัจจัยที่ทำให้ทำงาน

ที่เดิมได้ถึง 10 ปี

1. หัวหน้า

ยังคงยืนยันว่า หัวหน้า คือ ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำงาน ไม่ว่าหน้างานจะยาก โหด หรือกดดันขนาดไหน ถ้ามีหัวหน้าที่คอยผลักดัน แบบที่คอยไกด์ คอยสนับสนุน แล้วคอยเป็นครูที่พร้อมที่จะสอนให้เราเลเวลอัพ ไม่ใช่มีอะไรก็โยนมาให้เราว่ายน้ำในทะเลน้ำวน แล้วพอใกล้ฝั่ง ก็ผลักเราให้ลงไปว่ายอีก โดยที่ไม่บอกเทคนิคการว่าย หรือการเอาชีวิตรอดจากทะเลนั้นเลย

ผมชอบเจ้านายพูดความจริงอย่างตรงไปตรงมา ถึงสิ่งที่เราต้องปรับปรุง ไม่มาบอกทีเดียวปลายปี หลังการประเมินว่า ที่ผ่านมา เราพลาดตรงไหนบ้าง เป็นคนที่ทำให้เราเก่งขึ้น แถมยังสบายใจที่จะพูดทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัวด้วย 

นั่นจะทำให้เราลังเล เมื่อคิดที่จะเปลี่ยนงาน หรือโยกย้ายไปทำอย่างอื่น และก็เข้าใจสำหรับคนที่เปลี่ยนงานทันที ที่เปลี่ยนเจ้านาย เพราะเจ้านายที่เคมีเข้ากันไม่ได้ มันก็ทำให้บรรยากาศการทำงานมืดมนจริงๆ

แต่ความจริงก็คือ เราไม่สามารถเลือกเจ้านายได้ เราจะเลือกได้ ก็ตอนที่เราสัมภาษณ์งานใหม่ ซึ่งตอนที่เขากำลังเรียนรู้เราจากการสัมภาษณ์เราก็ต้องพยายามอย่างที่สุดที่จะเรียนรู้เขาในเวลานั้นด้วยเช่นกัน แต่เจ้านายก็เป็นคน จะคาดหวังว่าเขาต้องดีที่สุดมันก็ไม่ได้ บางทีก็ต้องดูด้วยว่า เราพัฒนาพอที่จะเป็นไปตามความคาดหวังของเขา หรือบริษัทหรือยัง ถ้ายัง ก็ห้ามเอาข้อนี้เป็นข้ออ้างในการไม่อยู่ต่อในที่ใดสักที่หนึ่ง


2. เพื่อนร่วมงาน 

เราค้นพบหลายเคส ไม่ว่าจะคนที่นั่งทำงานใกล้กัน ไม่ยอมคุยกัน ให้เราเป็นล่ามคอยแปลสารที่ตัวเองไม่อยากสื่อ ซึ่งคำถามคือ กูไม่ได้สมัครงานมาเป็นล่ามภาษาคนให้มึง 55 จนบางทีก็ต้องพูดตรงๆ ไปว่า ไปคุยกันเองแค่กูคุยกับมึงคนเดียวก็ปวดหัวแล้ว ยังต้องมาแปลสารอะไรให้อีก เพื่อนร่วมงานบางคน เป็นเพื่อนที่ดีทั้งในเกมและนอกเกม เพื่อนร่วมงานบางคน เป็นได้แค่เพื่อนที่พร้อมลุยกันในงาน แต่ไม่รู้จักกันในโลกหลังเลิกงาน

เพื่อนร่วมงานบางคน ได้แต่ภาวนาว่าอย่าได้ร่วมงานกันอีกเลย สิ่งแวดล้อมที่มีเพื่อนร่วมงานที่ดี คอยสนับสนุน คอยช่วยเหลือ ผลัดกันเซฟ ผลัดกันดูแลสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถดูแลตัวเองได้ในตอนนั้น ในแบบที่ไม่ได้พอทำแล้ว คิดว่าสิ่งนั้นเป็นบุญคุณ 8-10 ชั่วโมงที่ต้องมาอยู่ด้วยกันที่ทำงาน การได้อยู่กับคนที่สบายใจที่จะหายใจในออฟฟิศร่วมด้วย ถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตมนุษย์เงินเดือน


3. ความก้าวหน้า และคุณค่าของตัวเองหลังทำงานเสร็จ

ความก้าวหน้าในที่นี้ที่รู้สึกมาตลอด คือความก้าวหน้าทั้งในหน้างาน และความรู้สึก ทำงานที่ไหน เราก็อยากรู้แหละว่า Career Path ของเรามันจะเป็นยังไง แต่มากไปกว่านั้น คือการที่เราได้ทำงาน แล้วพอเราทำเสร็จแล้ว เรารู้สึกว่า ตัวเองเราเก่งขึ้นกว่าเดิม

ทั้งในแง่ของเทคนิคการทำงาน ในแง่ของการควบคุมอารมณ์ ในแง่ของการโตเป็นผู้ใหญ่ ซึ่งถ้าเราได้ทำงานที่มันไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีคุณค่ากับตัวเองมากขึ้น เราก็ไม่ได้อยากอยู่กับหน้างานแบบนั้น ส่วนตัวคิดแบบนี้นะ บางคนอาจไม่เห็นด้วยก็ได้ เพราะบางคนก็ชอบงานที่ไม่ต้องคิดอะไร ใส่ Auto Pilot ไปแล้วก็วนไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิตการทำงาน อย่ามาอะไรมาก อยากทำแค่นี้จนกว่าจะเกษียณ 


4. ชีวิตหลังเลิกงาน

การได้ทำงานที่ไม่ได้รบกวนชีวิตหลังเลิกงานถือเป็นความโชคดีอย่างหนึ่ง เราเข้าใจว่าโลกเปลี่ยนไปนะ ว่าเราสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ส่วนตัวแล้วยังแฮปปี้กับการได้ทำงาน แปดโมงเลิกห้าโมง อยู่ เพราะเราสามารถเปิด-ปิดสวิทซ์ตัวเองได้ว่า ตอนไหนควรทำ ตอนไหนควรพัก ซึ่งถ้าจะมีบางจังหวะที่มีงานด่วนมารบกวนเวลาส่วนตัว เราก็โอเคที่จะจัดการมัน ส่วนตัวเป็นคนให้ความสำคัญกับชีวิตหลังเลิกงานมาก เพราะถ้าเราโฟกัสกับการทำงานได้ 1 ใน 3 ของการมีชีวิตในวันนั้นแล้ว หลังเลิกงานจนถึงก่อนนอน มันมีช่วงเวลาเหลืออยู่แค่ไม่ถึง 5-6 ชั่วโมง บางวันก็น้อยกว่านั้น และมันควรจะเป็นช่วงเวลาคุณภาพที่ไม่ได้มีเรื่องอื่นเข้ามารบกวน เต็มที่กับงานแล้ว ก็ขอเต็มที่กับการมีชีวิตหลังเลิกงานด้วยหน่อย


5. เงิน

ใช่จ้ะ I have bill to pay เอวี่มั้นนนน ก็จะไม่ตอบอย่างเลิศหรูเหมือน 4 ข้อข้างบน So ถ้างานที่ทำไม่สามารถจ่ายบิลเหล่านั้นได้ เราก็ต้องเปลี่ยน ต้องย้าย ต้องพัฒนาความสามารถตัวเองให้ไปถึงจุดที่มันพอจะแลกเป็นเงิน สำหรับค่าใช้จ่ายตามรสนิยมที่ตัวเองตั้งไว้ ก็ให้มันรู้ไปว่า วันไหนที่ฉันย้ายงาน มันก็คือ 1 ใน 5 ข้อเหล่านี้แน่นอน สุขสันต์วันทำงานครบ 11 ปี ขอให้มีแรงทำงานสำหรับวันต่อไป จนถึงเมื่อไหร่ ไม่น่ามีใครรู้เลย..

สรุป

มีหัวหน้าดี สอนให้เราเก่งขึ้น เพื่อนร่วมงานไม่ประสาทแดก แต่คอยซัพพอตกัน ความก้าวหน้า และคุณค่าของตัวเองหลังทำงานเสร็จ ชีวิตหลังเลิกงาน ยังพอมีเวลาให้ทำงานอดิเรกที่ชอบได้ สุดท้ายเงิน I have bills to pay น้าา 🤪

0
220