วัยหนึ่ง วันหนึ่ง

เราจะพบว่า เราเลิกเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เพราะต้นทุนชีวิตของคนเราไม่เคยเท่ากัน ดังนั้นสิ่งใดที่เค้าทำได้ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องทำได้ หรือต้องทำ ชีวิตของแต่ละคนมีข้อจำกัดที่ไม่เหมือนกัน มีความชอบที่ต่างกัน ทุกคนมีทางเดินของตัวเอง รักษาทางนั้นไว้และเดินในแบบที่เราเป็นก็พอ

วัยหนึ่ง วันหนึ่ง 

เราจะพบว่า ไม่มีใครเก่งทุกเรื่องหรือทำได้ทุกอย่าง ทุกคนมีทั้งเรื่องที่ถนัดและไม่ถนัด มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันออกไป อย่าตัดสินใครว่าด้อยกว่าเพียงเพราะเค้าไม่ได้ถนัดในเรื่องที่เราถนัด เพราะในเรื่องถนัดของเค้า เราเองก็ทำไม่ได้ดีเท่าเช่นกัน 

วัยหนึ่ง วันหนึ่ง 

เราจะพบว่า ทุกคนมีความหมายของคำว่าคุ้มค่าในการใช้ชีวิตแตกต่างกัน บางคนมีความสุขกับการไปเที่ยว ไปบุกป่าลุยน้ำ ก็ไม่ได้แปลว่าคนที่ชอบอยู่บ้านดูหนังหรือนอนเล่นเฉยๆคือใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า ความคุ้มค่าของแต่ละคนไม่เท่ากัน และความสุขก็ไม่ได้อยู่ที่มีมากหรือมีน้อย มันขึ้นอยู่กับว่าเราเอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่เราพอใจหรือไม่ 

วัยหนึ่ง วันหนึ่ง 

เราจะพบว่า เราไม่จำเป็นที่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา และการแสดงอารมณ์เสียใจไม่ใช่เรื่องที่ผิด การบอกเล่าหรือพูดออกมาให้คนที่เราไว้ใจได้ฟังช่วยได้มาก ทุกความผิดพลาดเป็นบทเรียนในชีวิต และความพินาศในอดีตไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่าปัจจุบันเราต้องจมอยู่กับชีวิตที่แย่ ให้อภัยตัวเองในสิ่งที่ผ่านมา และอยู่กับวันนี้ให้ดีเพื่อกำหนดวันข้างหน้า  

วัยหนึ่ง วันหนึ่ง 

เราจะพบว่า เราควบคุมทุกอย่างในชีวิตไม่ได้ บางครั้งในสถานการณ์ที่เลวร้าย ในปัญหาที่แก้ไม่ได้ หรือในความผิดหวังครั้งใหญ่ ถูกดับได้ด้วยคำว่าช่างแม่ง และสุดท้ายวัยหนึ่ง วันหนึ่ง เราจะพบว่าวิธีการใช้ชีวิตให้ง่ายและมีความสุข ไม่มีอะไรมากกว่า แคร์เรื่องที่ควรแคร์ ให้ใจกับคนที่ควรให้ ช่างแม่งกับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และเข้าใจในความต่างของแต่ละคน

0
247