ratanon.com - infrastructure

Disaster Recovery Planning (DRP)

มีโอกาสได้มาทำ DRP ของแบงค์ในไทย จะสรุปให้ฟังเบื้องต้น DRP เป็นกระบวนการที่องค์กรจัดทำขึ้นเพื่อให้สามารถกู้คืนระบบ IT และข้อมูลภายหลังจากเกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม, แผ่นดินไหว หรือภัยพิบัติจากมนุษย์ เช่น การโจมตีทางไซเบอร์, ไฟไหม้

หลักการของ DRP คือ

  1. การประเมินความเสี่ยง: การวิเคราะห์ความเสี่ยงและความเป็นไปได้ของภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร
  2. การกำหนดเป้าหมายการกู้คืน: ระบุเวลาที่ต้องการในการกู้คืนระบบ (Recovery Time Objective - RTO) และข้อมูลที่สูญหายได้ (Recovery Point Objective - RPO)
  3. การจัดทำแผน: การกำหนดขั้นตอน, ทรัพยากร, และการกระทำที่จำเป็นในการกู้คืนระบบและข้อมูล
  4. การทดสอบและประเมินผล: การทดสอบแผนการกู้คืนเพื่อให้แน่ใจว่ามันสามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ

จุดเประสงค์ของ DRP

  1. การกู้คืนระบบได้อย่างรวดเร็ว: ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ, องค์กรสามารถกู้คืนระบบ IT และข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว
  2. การลดความเสี่ยง: ป้องกันการสูญเสียข้อมูลและความเสียหายต่อธุรกิจ
  3. การเพิ่มความมั่นใจ: ให้ความมั่นใจแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียว่าระบบและข้อมูลสามารถกู้คืนได้หลังจากเกิดภัยพิบัติ

เมื่อพูดถึง Disaster Recovery Planning (DRP) มีหลายประเด็นที่ควรทราบ


  • ความแตกต่างระหว่าง DRP และ Business Continuity Planning (BCP): ในขณะที่ DRP เน้นไปที่การกู้คืนระบบ IT และข้อมูล, BCP คือแผนที่ครอบคลุมกว่า โดยเน้นไปที่การให้ธุรกิจดำเนินการต่อไปได้ในกรณีของภัยพิบัติหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก
  • การประเมินความเสี่ยง: ก่อนจะสร้างแผน DRP, ควรทำการประเมินความเสี่ยงเพื่อระบุภัยที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร และระบุระบบหรือข้อมูลที่มีความสำคัญ
  • การกำหนด RTO และ RPO:
  • RTO (Recovery Time Objective): เวลาที่องค์กรต้องการในการกู้คืนระบบหลังจากเกิดภัยพิบัติ
  • RPO (Recovery Point Objective): จุดเวลาที่สุดท้ายที่ข้อมูลสามารถกู้คืนได้ หรือ จำนวนข้อมูลที่สามารถยอมสูญเสียได้
  • การสำรองข้อมูล: การมีการสำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอและเก็บไว้ในที่ที่ปลอดภัย (เช่น บน cloud หรือในสถานที่ที่ห่างจากสถานที่ปกติของธุรกิจ) เป็นสิ่งสำคัญ
  • การทดสอบแผน: การทดสอบแผน DRP อย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามันสามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
  • การปรับปรุงแผน: ตามการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ, เทคโนโลยี, หรือความเสี่ยง ควรทำการประเมินและปรับปรุงแผน DRP อย่างสม่ำเสมอ
  • การฝึกอบรมและการสื่อสาร: การให้พนักงานทราบและเข้าใจแผน DRP และมีการฝึกอบรมเกี่ยวกับการดำเนินการในกรณีเกิดภัยพิบัติ
  • การพิจารณาต้นทุน: การจัดทำ DRP อาจมีต้นทุน แต่ต้องเทียบเคียงกับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากไม่มีแผน


การมี DRP ที่ดีจะช่วยให้องค์กรสามารถกู้คืนระบบและข้อมูลได้อย่างรวดเร็วหลังจากเกิดภัยพิบัติ และช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจ


ที่เหลือก็คือการออกแบบให้เหมาะกับระบบงานที่เราใช้ เพื่อตอบโจทย์การ Disaster Recovery Planning ตามจุดประสงค์ที่ได้กล่าวมาข้างต้น...

0
519